man542011
วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555
การละหมาดหรือการนมาซ
การละหมาดหรือการนมาซ
การละหมาด
การละหมาด เป็นการปฏิบัติศาสนกิจอย่างหนึ่งในศาสนาอิสลาม เพื่อเป็นการภักดีต่ออัลลอฮฺ มุสลิมทุกคนจะต้องละหมาด วันละ 5 เวลา เรียกว่า ละหมาดฟัรฎู ละหมาด หมายถึง การขอพร ความหมายทางศาสนาหมายถึง การกล่าวและการกระทำ ซึ่งเริ่มต้นด้วยตักบีร และ จบลงด้วยสะลาม การละหมาดเป็นการสร้างเอกภาพอย่างหนึ่งของมุสลิม เมื่อละหมาดมุสลิมทั่วโลก หันหน้าไปทางกิบละฮฺ เพื่อเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ การละหมาด ฝึกฝนให้เป็นคนตรงต่อเวลา มีความอดทน และขัดเกลาจิตใจ ให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่ประพฤติสิ่งหนึ่งสิ่งใดในทางชั่วร้าย ดังอัลกุรอานระบุไว้ ความว่า
" และจงละหมาด แท้จริงการละหมาดจะยับยั้งความลามกอนาจารและสิ่งต้องห้าม "
อัล - อังกะบูต : 45
การละหมาดฟัรฏู อัลลอฮฺทรงกำหนดให้มุสลิมทำการละหมาด วันละ 5 เวลา คือ
1. ละหมาดศุบหฺ มี 2 ร็อกอะฮฺ เวลา เริ่มตั้งแต่ฟ้าสางจนถึงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น
2. ละหมาด ซุฮฺริ มี 4 ร็อกอะฮฺ เวลาเริ่มตั้งแต่ดวงตะวันคล้อยจนเงาของสิ่งหนึ่งสิ่งใดทอดยาวออกไปเท่าตัว
3. ละหมาดอัศรฺ มี 4 ร็อกอะฮฺ เวลา เริ่มตั้งแต่เมื่อเงาของสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยาวกว่าเท่าตัวของมันเอง จนถึงดวงอาทิตย์ตกดิน
4. ละหมาดมักริบ มี 3 ร็อกอะฮฺ เวลา เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตกดิน จนสิ้นแสงอาทิตย์ คือเวลาพลบค่ำ
5. ละหมาดอิชาอฺ มี 4 ร็อกอะฮฺ เวลา เริ่มตั้งแต่เวลาค่ำจนถึงก่อนฟ้าสาง
คุณสมบัติของผู้ที่ต้องละหมาด
1. เป็นมุสลิม
2. บรรลุศาสนภาวะ
3. มีสติสัมปชัญญะ
4. ปราศจากหัยฎฺ นิฟาส หรือ วิลาดะฮฺ
ความสำคัญ
ชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามทุกคนต้องปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดเพราะ การละหมาดเป็นศาสนกิจเพื่อเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้าอัลลอฮ (ซุบฮาฯ) ด้วยความสงบ สำรวม จึงเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่จะต้องปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวัน วันละ ๕ เวลาตลอดไป
พิธีกรรม
ในการละหมาดนั้นจะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ การละหมาดฟัรดูทั้ง ๕ เวลาคือ ซุบฮิ ดุฮรี อัสริ มักริบ และอีซา ซึ่งมีจำนวนรอกาอัตที่แตกต่างกันคือ ๒, ๔, ๔, ๓และ ๔ รอกาอัต ในรอกาอัตหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยท่ายืน ท่าก้มโค้ง (รูกูอ) ท่าก้มกราบ(สุญูด) และท่านั่ง ด้วยความสงบสำรวม การก้มกราบ (สุญูด) มุสลิมจะก้มกราบได้เฉพาะกับพระเจ้าอัลลอฮ (ซุบฮาฯ)องค์เดียวเท่านั้น เวลาละหมาดให้หันหน้าไปทางกิบละอ ซึ่งกิบละอของไทยอยู่ทางทิศตะวันตก สำหรับการละหมาดญุมอะฮ หรือชาวไทยมุสลิมเรียกว่า "ละหมาดวันศุกร์" เป็นละหมาดฟีรดูจำเป็นหรือบังคับสำหรับผู้ชายที่จะต้องไปละหมาดรวมกันโดยมีอิหม่ามเป็นผู้นำละหมาด ซึ่งมีจำนวน ๒ รอกาอัด หลังจากการกล่าวคุฎบะฮ (คำอบรมของอิหม่าม) สถานที่ควรเป็นมัสยิด หากบริเวณนั้นไม่มีมัสยิดก็ให้รวมกันเพื่อการละหมาดในสถานที่ที่สะอาด โดยให้มีผู้ทำหน้าที่ มุอัซซิน กล่าวคุฎบะฮและนำละหมาด
เงื่อนไขของการละหมาด
นอกจากมีกฎเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ผู้ละหมาดยังต้องคำนึงถึงเงื่อนไขของการละหมาดอีก 8 ประการ คือ
1. ต้องปราศจากหะดัษใหญ่และหะดัษเล็ก คือ ต้องไม่มีญะนาบะฮฺ หัยฎู นิฟาส หรือ วิลาดะฮฺ และต้องมีน้ำละหมาด
2. ร่างกาย เครื่องนุ่งห่ม และสถานที่ละหมาด ต้องสะอาด
3. ต้องปกปิดเอาเราะฮฺ กล่าวคือ ผู้ชายต้องปิดตั้งแต่สะดือถึงหัวหัวเข่า ผู้หญิงจะต้องปกปิดทั่วร่างกาย ยกเว้นมือและใบหน้า
4. ต้องหันหน้าไปทางกิบละฮฺ
5. ต้องรู้ว่าได้เวลาละหมาดแล้ว
6. ต้องรับว่ามุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติการละหมาด
7. ต้องไม่ตั้งใจเปลี่ยนการละหมาดเป็นอย่างอื่น
8. ต้องห่างไกลจากสิ่งที่ทำให้เสียละหมาด
ช่วงเวลา
การละหมาดเป็นการประกอบศาสนกิจที่สำคัญยิ่งสำหรับมุสลิมทุกคนที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง และตามเวลาในแต่ละวัน โดยแบ่งประเภทของการละหมาดออกเป็น ๒ ประเภท คือ การละหมาดฟัรดู และการละหมาดสุหนัต การละหมาดฟัรดูเป็นการละหมาดที่บังคับหรือจำเป็นต้องปฏิบัติ หากไม่ปฏิบัติจะต้องได้รับการลงโทษ โดยแบ่งเป็นสองส่วนคือฟัรดูอิน เป็นละหมาดที่บังคับต้องปฏิบัติโดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อยกเว้นเฉพาะตน วันละ ๕ เวลา สำหรับผู้ชายจะต้องละหมาดญุมอะฮหรือละหมาดวันศุกร์ อีกส่วนหนึ่งคือ ฟัรดูกิฟายะฮู เป็นละหมาดที่บังคับต้องปฏิบัติแต่มีเงื่อนไขในการปฏิบัติตามสถานการณ์ คือหากมีผู้ปฏิบัติอยู่บ้างแล้วจะไม่เป็นบาปแก่คนทั้งหมด เช่น ละหมาดวันอีด (คือการละหมาดในวันอิดิลฟิตรี และอิดิลอัฎฮา) ละหมาดญะนาซะฮ (ละหมาดคนตาย) ส่วนการละหมาดสุหนัตเป็นการละหมาดเนื่องในเวลาและโอกาสต่างๆนอกเหนือจากการละหมาดฟัรดู
ศีลอดคืออะไร
ศีลอดคืออะไร
บรรดานักปราชญ์อิสลามได้ให้คำจำกัดความของการถือศีลอด (นิยามในภาษาอาหรับ) ไว้ว่า “การถือศีลอดหมายถึงการงดเว้นจากการบริโภค การละเมิดกฎกติกามารยาทและการปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำนับตั้งแต่แสงรุ่งอรุณจนถึงดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า(เวลากลางวัน)”อยู่ในประมาณ เวลา 04.40 น.- 18.12 น.
กฎกติกามารยาทมีดังนี้
เงื่อนไขของการถือศีลอด 1.นับถือศาสนาอิสลาม 2.บรรลุนิติภาวะ 3.มีความสามารถถือศีลอดได้ 4.มีสติสัมปชัญญะ 5.ไม่ใช่ผู้เดินทาง
เงื่อนไขของการถือศีลอดที่ใช้ได้ 1.นับถือศาสนาอิสลาม 2.มีสติสัมปชัญญะ 3.ไม่มีประจำเดือน หรือเลือดหลังคลอด 4.การตั้งเจตนาด้วยความบริสุทธิใจ
ความจำเป็นที่สามารถอนุโลมไม่ต้องถือศีลอดได้แก่ผู้ที่มีคุณสมบัติ 1.เดินทาง 2.ป่วย (ที่นำมาซึ่งความหายนะต่อร่างกาย) 3.หิวหรือกระหายจนเกินไป 4.ถูกบังคับ 5.ผู้ที่ทำงานหนัก 6.ผู้ที่ต้องการช่วยคนจมน้ำ 7.ตั้งครรภ์ 8.คนที่ให้นมลูก 9.คนชรา (โดยผู้ที่ได้รับการอนุโลมไม่ให้ถือศีลอดในกรณีดังกล่าวทั้ง 6 ข้อแรกต้องถือศีลอดชดเชยภายหลังส่วน บุคคล 3 กลุ่มหลังดังกล่าวสามารถเลือกระหว่างการถือศีลอดชดเชยและจ่ายทานชดเชยกล่าวคือ บริจาคอาหารให้คนจนจำนวน 1 มื้อ ต่อ 1 วันที่ขาดไป)
สิ่งที่ทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะและจำเป็นต้องชดเชยนั้นได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้ 1.เจตนาบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม (โดยไม่มีความจำเป็นทางศาสนา) 2.เจตนาทำให้น้ำอสุจิหลั่งออกมา (จะด้วยวิธีใดก็ตาม) 3.เสียสติ (โดยเป็นบ้าเป็นลมหรือสลบ) 4.เจตนาทำให้สิ่งใดล่วงล้ำเข้าไปภายในอวัยวะที่เป็นรู (เช่นหู จมูกทวารหนักและทวารเบา) 5.เจตนาทำให้อาเจียน 6.ปรากฏมีเลือดประจำเดือน(หัยฎฺ)และเลือดหลังคลอด (นิฟาส) 7.มุรตัด(สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม)
สำหรับผู้ที่เจตนาร่วมประเวณีในเวลากลางวันนั้นบุคคลดังกล่าวจะต้องถือศีลอดชดเชยพร้อมกับการขอไถ่โทษและถูกประจาน (ประกาศให้คนในชุมชนรู้) โดยกระบวนการขอไถ่โทษนั้นจะต้องปฏิบัติดังนี้ปล่อยทาสหญิงให้เป็นอิสระ 1 คน หรือหากไม่มีความสามารถจะต้อง ถือศีลอดชดเชย 2 เดือนติดต่อกัน หรือหากไม่มีความสามารถอีกก็จะต้อง บริจาคอาหารแก่คนยากจน 60 ทะนาน จำนวนคนละ 1 ทะนาน
สิ่งที่พึงกระทำในการถือศีลอด 1.รับประทานอาหารมื้อที่ 2(ประมาณเวลา 02.00น.-04.30น.)ให้ช้าที่สุด 2.รีบละศีลอดด้วยอินทผาลัมก่อนละหมาดมัฆริบ 3. ไม่แปรงฟันหลังเวลาเที่ยง 4.บริจาคทาน 5.อ่านคัมภีร์อัลกุรอาน 6.การปฏิบัติศาสนกิจในมัสยิด 7. ทำดีและละเว้นความชั่วทุกชนิด
เป้าหมายการถือศีลอด
พระเจ้าได้ตรัสว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย การถือศีลอดได้ถูกกำหนดแก่สูเจ้า ดังที่พระองค์ได้เคยบัญญัติแก่ชนยุคก่อนจากท่าน เพื่อว่าสูเจ้าจะเป็นผู้ที่ยำเกรง” (อัลกุรอ่าน บทที่ 2 โองการที่ 183) คำว่าผู้ยำเกรงตามทรรศนะอิสลาม หมายถึงการกระทำความดีและละเว้นความชั่ว อิหม่ามชะฮาบุดดีน ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอิสลาม ได้อธิบายคำว่า ความดีในหนังสือ (al-Furuk) หน้า 15 ไว้ว่า “การกระทำความดีหมายถึงการช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ การบริจาคทานแก่คนยากจน การให้อาหารแก่ผู้ที่หิวโหย การให้เครื่องนุ่งห่มแก่ผู้ขัดสน การพูดจาไพเราะอ่อนโยนกับทุกคน การให้ความเมตตาต่อผู้คน การปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน เพื่อขจัดความขัดแย้งและการทะเลาะวิวาท และอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวกับความดีทุกชนิด”
ท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า “การถือศีลอดเป็นโล่ ถ้าหากว่าผู้หนึ่งในพวกท่านถือศีลอดในวันหนึ่งแล้วเขาไม่ทำชั่วและพูดจาหยาบคาย เมื่อมีผู้หนึ่งด่าทอต่อเขาหรือระบายความไม่ดีแก่เขา(ผู้ถือศีลอด) จงกล่าวว่า แท้จริงฉันถือศีลอด”
การถือศีลอดคือการขัดเกลาและฝึกฝนวิญญาณของมนุษย์เกี่ยวกับการอดทนและมีความพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ในแนวทางของอัลลอฮฺสุบหานะฮูวะตะอาลา
การถือศีลอดเป็นการรักษาร่างกายทั้งภายนอกและภายใน อีกทั้งยังได้มาซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ นั้นคือ การตักวา (การมีความสำนึกถึงอัลลอฮ หรือ ความเกรงกลัวอัลลอฮ)
มุสลิมถือศีลอดในเดือนรอมฎอนกันจริงหรือ? สังเกตุได้จากในช่วงกลางวันของรอมฎอน มุสลิมจะถือศีลอด และประกอบอาชีพเพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยยังชีพที่ฮะล้าล(สุจริตตามบทบัญญัติ) ส่วนในตอนกลางคืนมุสลิมจะละหมาดตะรอเวียห์ ขอดุอาอ์(ขอพร) ขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ และขอความเมตตาจากพระองค์
แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างมาก ที่มุสลิมบางคนไม่ได้ถือศีลอดตามที่ศาสนากำหนด โดยเขาใช้เวลาเกือบตลอดทั้งวันไปกับการนอน และมีอารมณ์โกรธฉุนเฉียวโดยปราศจากสาเหตุอันควร โดยอ้างว่าเพราะเขาถือศีลอด การถือศีลอดของเขาจึงถือความเกียจคร้านและความฉุนเฉียวในเวลากลางวัน และการอดนอนไปกับสรวลเฮฮาและสิ่งไร้สาระในตอนกลางคืน เป็นการสมควรแล้วหรือ ที่เราจะปล่อยให้เดือนอันประเสริฐ และเต็มไปด้วยความดีงามนี้ผ่านไป ในลักษณะเช่นนี้ปีแล้วปีเล่า เราควรจะได้ฉกฉวยโอกาสแห่งเดือนอันประเสริฐนี้สะสมความดีงามให้มากที่สุด ด้วยการภักดี และขอความเมตตา และขออภัยโทษต่อพระองค์ เพราะไม่แน่ว่าเราจะมีโอกาสได้พบกับรอมฎอนในปีหน้าหรือเปล่า?
รูปภาพ
การประกอบพิธีฮัจย์
การประกอบพิธีฮัจย์ ณ นครเมกกะฮ์ ประเทศซาอุดิอารเบีย
ฮัจย์: 1 ในหลักการอิสลาม.
๑. เป็นรูกนที่ ๕ ของรู่ก่นอิสลาม ซึ่งกำหนดเป็นฟัรดู (ศาสนกิจระดับบังคับ) สำหรับมุสลิมที่มีความสามารถ ( มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งทางร่างกาย จิตใจ และปัจจัยที่จำเป็นในการประกอบพิธีฮัจย์ – เงิน อาหาร) ต้องเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ นครมักกะฮฺ ในเดือนซูลฮิจยะฮฺ จำนวน ๑ ครั้งในชั่วชีวิต (ส่วนจำนวนที่ประกอบฮัจย์มากกว่า ๑ ครั้ง จะไม่ถือเป็นวายิบ แต่ส่งเสริมให้กระทำ)
๒. เป็นศาสนพิธีในอิสลามที่กำหนดให้มุสลิมที่มีความสามารถจะต้องประกอบพิธีฮัจย์หนึ่งครั้งในชั่วชีวิตของมุสลิมแต่ละคน
ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ชาวมุสลิมเกี่ยวกับฮัจย์ สรุปความได้ว่า “ โอ้ประชาติทั้งหลาย อัลลอฮฺ ได้กำหนดฮัจย์เป็นหน้าที่ของพวกท่าน (มุสลิม) ดังนั้นท่าน (มุสลิม) ทั้งหลายจงทำฮัจย์ ”
จากฮะดิษข้างต้น จะเห็นว่า รูกนฮัจย์ เป็นรูกนที่อัลลอฮฺ ทรงกำหนดให้มุสลิมทุกคนจะต้อง (วายิบ) ประกอบ โดยมีคำอธิบายขยายเพิ่มเติมว่า บังคับเหนือมุสลิมทุกคน ยกเว้นผู้ที่ไม่มีความสามารถกระทำได้ อาทิเช่น
- ไม่มีความสามารถที่จะประกอบพิธีฮัจย์เนื่องจากความบกพร่องทางสมอง เช่น บ้า สติไม่สมประกอบ หรือ พิการทางร่างกายที่ไม่สามารถเดินทางและประกอบพิธีฮัจย์ได้
- ไม่มีความสามารถที่จะประกอบพิธีฮัจย์เนื่องจากความเจ็บป่วย หรือเป็นโรค เช่น เจ็บป่วยหนักอย่างต่อเนื่อง เจ็บป่วยเป็นโรคติต่อร้ายแรง หรือเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่นรอบข้าง เป็นต้น
- ไม่มีความสามารถที่จะประกอบพิธีฮัจย์เนื่องจากความยกจน มีรายได้ไม่พอเลี้ยงดูครอบครัวระหว่างการประกอบฮัจย์ ไม่มีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นระหว่างเดินทางและประกอบพิธีฮัจย์ หรือเป็นผู้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว หรือเป็นคนล้มละลาย เป็นต้น
- ไม่มีความสามารถที่จะประกอบพิธีฮัจย์เนื่องจากเหตุผลสุดวิสัยอื่น เช่น อยู่ในภาวะสงคราม โรคระบาดอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ เป็นต้น
อุมเราะฮฺ : เป็นอีบาดัตซุนนะฮฺ ประการหนึ่ง ที่สามารถกระทำได้ ณ นครมักกะฮฺ ซึ่งจะประกอบด้วยกิจกรรมอิฮรอม ตอวาฟ สะแอ และตะหัลลู้ล โดยจะไม่ประกอบกิจกรรมวายิบของฮัจย์ บางครั้งเรียมอุมเราะห์ว่า ฮัจย์เล็ก
การประกอบพิธีฮัจย์และอุมเราะห์ มี ๓ วิธี
๑ . อิฟรอด คือ การทำฮัจย์ก่อนการทำอุมเราะฮฺ ฮุจญาดผู้ประกอบพิธีฮัจย์แบบฮัจญ์อิฟรอด จะประกอบพิธีฮัจญ์ก่อนทำอุมเราะฮฺ หลังจากเสร็จพิธีฮัจญ์แล้วเขาจะเดินทางออกจากแผ่นดินฮะรอม แล้วเนียตเอียะฮฺ รอมอุมเราะฮฺ แล้วเดินทางเข้ามักกะฮฺ เพื่อประกอบพิธีอุมระฮฺ โดยต้องทำต้องทำภายในปีเดียวกันกับปีที่ประกอบพิธีฮัจญ์ วิธีอิฟรอด เป็นวิธีประกอบฮัจญ์ที่ดีกว่า การประกอบพิธีฮัจญ์วิธีตะมัตตุอ . และวิธีกิรอน โดยไม่ต้องเสียดัม (ตามมัซฮับซาฟีอี)
๒ . ตะมัตตุอฺ คือ การทำอุมเราะฮฺ ในช่วงเวลาฮัจญ์ เมื่อเสร็จการทำอุมเราะฮฺ แล้วฮุจญาดจะทำพิธีฮัจญ์ในปีเดียวกัน การประกอบพิธีฮัจญ์วิธีตะมัตตุอ . จะดีกว่าการประกอบพิธีฮัจญ์วิธีกิรอน แต่ต้องเสียดัม (ค่าปรับต่อการกระทำผิดพลาด หรืออาจจะบกพร่องกรณีใดกรณีหนึ่งตามรูกนฮัจญ์)
๓ . กิรอน คือ การทำฮัจญ์และอุมเราะฮฺ พร้อมกันในช่วงเวลาฮัจญ์ หรือการเนียตทำอุมเราะฮฺ แล้วนำเอาพิธีฮัจญ์เข้ามาก่อนลงมือทำอุมเราะฮฺ แล้วก็ทำพิธีฮัจญ์จนแล้วเสร็จ ทั้ง ๒ รูปแบบนี้ผู้ปฏิบัติจะได้ทั้งฮัจญ์ และอุมเราะฮฺ ในคราวเดียวกัน เพราะพิธีฮัจญ์ได้ครอบคลุมถึงพิธี อุมเราะฮฺ อยู่แล้ว แต่ต้องเสียดัม
รูกนของฮัจย์ มี ๖ ประการ ดังนี้
๑ . เอียะฮฺรอม คือ การตั้งเจตนา ( เนียต) ทำพิธีฮัจย์ ฮุจญาจหรือผู้ที่จะประกอบพิธีฮัจย์ทุกคนจะต้องเริ่มต้นด้วยรูกนนี้ มิฉะนั้นการกระทำหลังจากนี้ทั้งหมดจะถือว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีฮัจย์ การตั้งเจตตนาหรือเนียต สามารถกล่าวด้วยข้อความต่อไปนี้ “ ข้าพเจ้าตั้งเจตนาทำฮัจญ์ และครองตนไม่ละเมิดสิ่งต้องห้ามด้วยการทำฮัจย์ เพื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานาฮูวาตะอาลา ”
๒ . วุกูฟ คือ การเดินทางไปปรากฏตัว ณ ทุ่งอะรอฟะฮฺ ในช่วงเวลาตั้งแต่ตะวันคล้อยของวันที่ ๙ ของเดือนซุลฮิจญะฮฺ และพักแรมคืน ณ ทุ่งมุซดะลีฟะฮฺ ถึงเริ่มแสงอรุณ (หรือพักแรมอย่างน้อยถึงหลังเที่ยงคืน) ของวันที่ ๑๐ เดือนซุลฮิจญะฮฺ หรือ ที่เรียกว่า วันกุรบาน ซึ่งจะเป็น วันอิดิลฮัฎฮา Idil Adha หรือ วันรายอฮัจญี ของที่อื่นๆที่ไม่ใช่ทุ่งอะรอฟะฮฺ (ทุกชุมชนมุสลิมที่นอกเหนือจากกลุ่มฮุจญาจที่อยู่ระหว่างประกอบฮัจย์ (วูกูฟ) ณ ทุ่ง อะรอฟะฮฺ จะเป็นวันอิดิลอัฏฮา จะทำการละหมาดอิดิลอัฎฮา และทำการกุรบาน)
๓ . ตอวาฟ คือ การเดินเวียนรอบกะบะฮฺ หรือ บัยตุ้ลเลาะฮฺ (ฮุจญาจปกติจะเดินเท้า ส่วนฮุจญาจที่ชรา หรือพิการ หรือไม่สบายสามารถจ้างลูกหาบช่วยหาบ (ใช้เปลคล้ายเปลคนไข้) หรือ ใช้รถเข็น รอบกะอฺบะฮฺ แทนการเดินเท้า เป็นต้น การตอวาฟรอบกะอฺบะฮฺ จะเวียนซ้าย ( ทวนเข็มนาฬิกา) จำนวน ๗ รอบ เริ่มจากแนวเส้นเริ่มต้น ซึ่งจะทำเป็นเครื่องหมายให้สามารถสังเกตได้ทั้งบนพื้น และที่อาคารมัสยิด เวลาตอวาฟเริ่มตั้งแต่เวลาพ้นเวลาเที่ยงคืนของวันที่ ๑๐ เดือน ซุ้ลฮิจยะฮฺ แนวเส้นทางการตอวาฟดังแผนภูมิต่อไปนี้
เงื่อนไขของการตอวาฟมี 6 ประการ คือ
1. ร่างกายต้องสะอาดจากอะดัสใหญ่และเล็ก และสะอาดจากนะยิสต่างๆ
2. ต้องปกปิดอวัยวะที่พึงสงวน
3. ต้องตั้งเจตนา (เนี๊ยต) ทำการตอวาฟ สำหรับตอวาฟทั่วไป สำหรับตอวาฟที่เกี่ยวกับพิธีฮัจย์ และอุมเราะฮฺ ก็ไม่ต้องเนี๊ยต เพราะการเนี๊ยตเอียะฮฺรอม นั้นได้ครอบคลุมถึงพิธีการทั้งหมดแล้ว
4. ต้องเริ่มการตอวาฟที่แนวมุมหินดำ (มีเส้นแนวกำหนด สามารถสังเกตุเส้นแนวที่กำหนดเป็นเส้นเริ่มต้นได้ที่พื้นลานรอบไบตุลลอฮฺ และอาคารมัสยิดฮะรอมรอบใน)
5. ต้องรักษาแนวการเดิน หรือวิ่งเยาะๆตอวาฟให้ไบตุลลอฮฺอยู่ด้ายซ้ายของผู้ตอวาฟเสมอตลอการตอวาฟ และต้องตอวาฟในมัสยิดฮะรอมเท่านั้น
6. ต้องตอวาฟให้ครบ 7 รอบ โดยมั่นใจ
๔ . สะอีย์ (สะแอ) คือ การเดินระหว่างเนินเขาซอฟา กับ เนินเขามัรวะห์ ๗ เที่ยว โดยให้เริ่มจากเนินเขาซอฟา ไปถึงเชิงเนินเชา มัรวะห์นับเป็น ๑ เที่ยว แล้วเริ่มนับเที่ยวที่ ๒ เดินจากเนินเขามัรวะห์ ถึง เนินเขาซอฟา นับต่อๆไปจนครบ ๗ เที่ยวจบ การสะอีย์ที่ เนินเขามัรวะห์ ด้านล่างนี้เป็นตารางเส้นทางการเดินสะอีย์
๕. การโกน หรือ ตัดเส้นผม หลังการซะอีย์ครบ ๗ เที่ยว ที่เนินเขามัรวะห์ แล้วจะต้องทำการโกนผม หรือ ตัดเส้นผม สำหรับฮุจญาจชายจะดีที่สุดคือการโกนศีรษะ สำหรับฮุจญาจสตรีนั้นส่งเสริมให้ตัดเส้นผมดีกว่าการโกนทั้งศีรษะ
๖. การปฎิบัติเรียงลำดับของรูกน (ตัรตีบ) หมายถึง การปฏิบัติรูกนฮัจย์ที่กล่าวมาเรียงลำดับขั้นตอนไม่สับสน และขาดขั้นตอน ซึ่งจะเริ่มจากการเอียะห์รอม แล้ววูกูฟ ตอวาฟ สะอีร์ แล้วตัดหรือโกนผม การทิ้งรูกนฮัจย์รูกนหนึ่งรูกนใดจะทำให้พิธีฮัจย์ใช้ไม่ได้
๑ . เอียะห์รอมจากสถานที่ และในเวลาที่กำหนดไว้ สำหรับผู้ที่อาศัยในนครมักกะฮฺ สถานที่ที่กำหนดสำหรับเอียะห์รอม คือ ขอบเขตนครมักกะฮฺ
• สำหรับผู้ที่อาศัยในนครมะดีนะฮฺ สถานที่ที่กำหนดคือ “ซุลฮุไลฟะฮ” หรือที่เรียกในปัจจุบันว่า “อาบารอะลี ”
• สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าจากมักกะฮฺ ทางประเทศชาม (ซีเรีย) อียิปต์ และมอร๊อคโค สถานที่ที่กำหนดเป็น “ยุฮฺ ฟะฮฺ”
• สำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามักกะฮฺ จากประเทศ เยเมน สถานที่ที่กำหนดคือ “ยะลำลำ ”
• สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากเมือง ฮิยาซ กำหนดให้เอียะห์รอมที่ “กอรนุ้ลมะนาซิ้ล ”
• สำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามักกะฮฺ จากเส้นทางตะวันออก ให้เอียะห์รอมที่ “ซาตุอิรก์ ”
• สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากเส้นทางอื่นนอกจากที่กำหนดไว้ข้างต้นให้ถือเอาเส้นทางผ่านซึ่งตรงกันกับสถานที่ที่ได้กำหนดไว้แล้วนั้น
• ส่วนเวลาที่กำหนดสำหรับเอียะห์รอมคือ สามารถกระทำได้ตั้งแต่เริ่มเข้าเดือนเซาวาล เดือนซุ้ลเกียะห์ดะห์ และอีก ๑๐ วันแรกของเดือนซุ้ลฮิจยะห์ (รวมช่วงเวลาที่สามารถทำเอียะห์รอมได้ คือ ๗๐ วัน)
๒ . การพักแรมที่มุซดาลิฟะฮฺ หลังวูกูฟที่ทุ่งอารอฟะฮฺ
กำหนดให้ฮุจยาดเดินทางออกจากทุ่งอารอฟะฮฺ หลังฮัสรีไปยังที่ทุ่งมุซดาลีฟะห์พักแรมที่ทุ่งมุซดาลีฟะห์จนถึงหลังซุบฮิ หรืออย่างน้อยหลังเที่ยงคืนของวันที่ ๑๐ ซุลฮิจยะฮฺ ซึ่งเป็นวันเชือดสัตว์ทำ กุรบาน ( วันอิดิลอัฏฮา ของชุมชนทั่วไป)
๓ . การพักแรมที่มินา หลังเดินทางออกจากทุ่งมุซดาลีฟะฮฺ ฮุจยาดจะต้องเดินทางกลับที่ทุ่งมินา และพักแรมที่มินา ๓ คืน คือ วันที่ ๑๑ , ๑๒ และ ๑๓ ซุลฮิจยะฮฺ หรือที่เรียกว่า “ วันตัซรีก ”
๔ . การขว้างเสาหิน มีกำหนด ๓ ต้น ในกำหนดเวลาดังนี้
• วันแรกขว้างเสาต้นที่ ๑ เรียกว่า “ ยัมรอตุลอะกอบะฮฺ” สามารถเริ่มขว้างตั้งแต่เวลาหลังเที่ยงคืนของวันที ๑๐ เดือนซุลฮิจยะฮฺ ด้วยก้อนกรวดที่เก็บจากลานทุ่งมุซดาลีฟะฮฺ จำนวน ๗ ก้อน
• วันที่ ๑๑ ๑๒ และ ๑๓ เดือนซุลฮิจยะฮฺ ฮุจญาจจะเดินออกจากเต็นที่พัก ณ ทุ่งมีนา ไปขว้างเสาหินทั้ง ๓ ต้นๆ ละ ๗ ก้อน ตามลำดับ โดยกำหนดให้เริ่มจากเสา ยัมรอตุ้ลอูลา แล้วขว้าง เสายัมรอตุลวุสตอ และเสายัมรอตุลอะกอบะฮฺ ตามลำดับ หมายเหตุ หากมีการละเว้นการปฏิบัติวายิบฮัจย์ประการใดประการหนึ่งไม่ทำให้เสียพิธีฮัจญ์ แต่ฮุจญาดผู้นั้นต้องเสียดัม (ค่าปรับ)
สิ่งที่ควรปฏิบัติ (สุนัต) ในพิธีฮัจย์
สิ่งที่ควรปฏิบัติ หรือ สุนัต ที่ส่งเสริมในระหว่างการทำฮัจย์มีดังต่อไปนี้
• อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดเพื่อการเอียะฮฺรอม เพื่อเดินทางเช้ามักกะฮฺ และอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อเอียะฮฺรอมเพื่อวูกูฟ
• ใส่เครื่องหอมที่ร่างกาย และเสื้อผ้าก่อนการเอียะฮฺรอม (ส่วนการใส่เครื่องหอมหลัง เอียะฮฺรอมแล้วถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม)
• กล่าว “ ตัลบียะฮฺ ” ควรกล่าว ตัลบียะฮฺด้วยเสียงค่อนข้างดัง กล่าวต่อเนื่อง หรือกล่าวให้มากที่สุดที่ทำได้ หลังเริ่มเอียะฮฺรอม ก่อนเข้านครมักกะฮฺ เริ่มเดินทางไปทุ่งมีนา จนถึงการขว้างเสาหินที่ ยำรอตุลอะกอบะฮฺ
• พักแรมคืนที่ ทุ่งมีนา ในคืนวันที่ 9 ซุลฮิจยะฮฺ
• พักแรมจนถึงรุ่งอรุณที่ ทุ่ง มุซดาลีฟะฮฺ
• หยุดพักที่ มัชอะริ้ลฮะรอม
• ขอดุอาฮฺ เตาบัต อ่านกุรอาน และซิเกร์ให้มากๆ
• บริจาคทานให้มาก
• ละหมาดที่มัสยิดหะรอม
• ปฏิบัติสุนัตอื่นๆให้มากระหว่างประกอบฮัจย์
• ในกรณีมีการละทิ้งไม่การทำ วายิบฮัจญ์ ประการใดประการหนึ่ง เช่น
• ละเว้นหรือลืมกรทำเอียะห์รอม ณ สถานที่ที่กำหนด หรือ
• ละเว้นการพักแรมคืน ณ “ มุซดาลีฟะห์ ” หรือ
• ละเว้นการพักแรมคืนที่ “ มีนา ” หรือ
• ละเว้นการขว้างเสาหิน หรือ
• ละเว้นการตอวาฟอำลา
• กำหนดต้องเสียค่าดัม (ค่าปรับ) ดังนี้คือ
1. ให้เชือดแพะ หรือ แกะ 1 ตัว แล้วให้แจกจ่ายเนื้อแก่คนยากจน ถ้าไม่สามารถกระทำได้ (ไม่สามารถหา หรือ ซื้อ แพะ หรือ แกะ เชือดเสียดัมได้) กำหนดให้ ถือศิลอด (ปัวซอ) เป็นเวลา 10 วัน โดยถือ ศิลอด 3 วัน ภายหลังเอียะห์รอม ( ควรถือศิลอด ในวันที่ 6, 7 และ 8 ของเดือน ซุลฮิจยะห์ ส่วนอีก 7 วันที่เหลือ นั้นให้ถือเมื่อเดินทางกลับจากการประกอบพิธีฮัจญ์ถึงภูมิลำเนาเดิมแล้ว ( กลับถึงบ้านของฮุจญาดแต่ละคน)
2 .กรณีละเว้นการพักแรมคืน ณ ทุ่งมีนา 1 คืน ต้องเสียค่าปรับเป็นอาหาร 1 มุด ( ลิตร) 2 คืน ต้องเสียค่าปรับเป็นอาหาร 2 มุด (ลิตร) 3 คืน ต้องเสียค่าปรับเต็มอัตรา คือ เชือดแพะ หรือ แกะ 1 ตัว หรือ ถือศิลอด 10 วัน แล้วแต่กรณี
3. กรณีละเว้น การขว้างเสาหิน (ใช้ก้อนหิน 7 ก้อน) ถ้าขาด 1 ก้อนต้องเสียค่าปรับเป็นอาหาร 1 มุด (ลิตร) ถ้าขาด 2 ก้อน ต้องเสียค่าปรับ เป็นอาหาร 2 มุด ถ้าขาด 3 ก้อนหรือมากกว่า ต้องเสียค่าปรับเป็นอาหาร ต้องเสียค่าปรับเต็มอัตราดังได้กล่าวไว้ข้างต้น
ข้อห้ามขณะอยู่ในเอียะห์รอมมี ๗ ประการ
• เกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่ม
สำหรับฮุจญาจชาย
• ห้ามปิดศีรษะ ทั้งหมดหรือบางส่วนของศีรษะ
• ห้ามสวมใส่ด้วยเครื่องนุ่งห่มที่เย็บติดกัน หรือทอต่อกัน เช่นกาง เกง เสื้อ เป็นต้น
• ห้ามสวมรองเท้า แบบหุ้มส้นเท้า และปลายนิ้วเท้า
• ห้ามสวมใส่ เครื่องแต่งกาย หรือเครื่องประดับที่เป็นวงกลม หรือ เย็บต่อกันเป็นวง
สำหรับฮุจญาจหญิง
• ห้ามสวมเครื่องแต่งกายแบบปิดใบหน้า
• ห้ามปิดฝ่ามือ ด้วยการสวมใส่ถุงมือ
• ไม่ห้ามเสื้อผ้าที่ตัดเย็บ หรือทอติดกัน เช่นเดียวกันกับฮุจญาจชาย
• เครื่องหอม เครื่องประทินผิว
ทั้งฮุจญาจชาย และหญิง ห้ามใส่ หรือพรมน้ำหอม หรือ เครื่องสำอางที่ร่างกาย เครื่องนุ่งห่ม หรือที่นอน
การเตรียมตัวการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์สำหรับฮุจญาจไทย
ชาวมุสลิมทั่วโลกที่มีความสามารถจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ นครมักกะฮ์ ประเทศซะอุดิอาระเบีย จะต้องเตรียมความพร้อมทั้งความรู้ในรูกนต่างๆของการประกอบพิธีฮัจย์ ความพร้อมทางร่างกายและสุขภาพ ความพร้อมทางการเงินซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งไป - กลับ และระหว่างการอยู่ในระหว่างการประกอบพิธีฮัจย์ ความพร้อมด้านเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเป็นต้น รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญ และเข้ามีบทบาทในการเตรียมความพร้อม และการจัดระบบของการเดินทางประกอบพิธีฮัจย์ของฮุจญาจไทย เพื่อให้ฮุจญาจไทยสามารถเดินทางไป - กลับ อย่างเป็นระบบ มีความปลอดภัย ไม่การติดขัด และมีมาตรฐานเทียบเท่ากับมาตรฐานของฮุจญาจจากประเทศอื่นๆที่พัฒนาแล้ว
มาตรฐานการเตรียมความพร้อมสำหรับฮุจญาจที่กำหนดโดยรัฐบาลไทย พอสรุปได้ดังต่อไปนี้
1. คุณสมบัติของผู้ที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์
1.1 เป็นคนไทย สัญชาติไทย มีสุขภาพดีแข็งแรงพอที่จะประกอบกิจกรรมตลอดพิธีฮัจย์
1.2 มีหนังสือเดินทาง (Passport) ไทย
1.3 ไม่เป็นผู้ต้องโทษ มีหมายจับจากทางราชการ และอยู่ภายใต้การควบคุมตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการห้ามเดินทางนอกราชอาณาจักรไทย
1.4 มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง (สามารถเดินทาง และประกอบพิธีฮัจย์ได้ตลอดช่วงการเดินทางไปกลับได้)
1.5 มีเอกสารรับรองการเป็นมุสลิม จากสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด หรือสำนักจุฬาราชมนตรี
1.6 ได้รับการฉีดวัคซีนต่างๆ และมีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนตามที่กำหนดในแต่ละปี จากสาธารณสุขจังหวัด หรือสถานพยาบาลอื่นๆที่รัฐบาลกำหนด
1.7 ได้แจ้งความประสงค์ และเข้าสังกัดบริษัทบริการฮัจย์ หรือแซะฮ์ ( ผู้ประกอบการบริการการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ทำหน้าที่เสมือนมัคคุเทศการบริการฮัจย์) ซึ่งได้รับอนุญาตจากรัฐบาลไทย
1.8 มีเงินสดสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทาง ซึ่งจะประกอบด้วย :-
- ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทบริการฮัจย์ หรือแซะห์ ซึ่งมักจะรวมค่าเครื่องบินไป - กลับ ค่าพาหนะเดินทาง ค่าเช่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าธรรมเนียมบริการอื่นๆระหว่างอยู่ในประเทศซะอุดิอาระเบีย (ประมาณ 10 – 45 วัน ) และอื่นๆ (สำหรับประเทศไทยค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะเฉลี่ยประมาณ 70,000 – 90,000 บาทต่อคน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของการบริการ)
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัวตลอดการเดินทางไป และกลับ
1.9 สัมภาระส่วนตัว ซึ่งจะประกอบด้วย
- สัมภาระที่จำเป็นใช้ในการประกอบพิธีฮัจย์ เช่น ผ้าอุมเราะห์ หรือชุดอุมเราะห์
- สัมภาระที่จะใช้ในชีวิตประจำวันระหว่างอยู่ในประเทศซะอุดิอาระเบีย เช่น เสื้อผ้าปกติประจำวัน ร้องเท้า หรือ รองเท้าแตะ แว่นตากันแดด ( ประเทศะอุดิอะราเบียจะมีแสงแดดจ้า และ มีทะเลทราย แสงแดดจะทำให้ปวดตามากว่า แสงแดดในประเทศไทย) ผ้าขนหนู ผ้าขาวม้า ร่มกันแดด แปรงสีฟัน ยาสีฟัน กรรไกรเล็มผม ที่ตัดเล็บ พรมละหมาด และอื่นๆ
1.10 เงื่อนไขอื่นๆตามที่รัฐบาลกำหนดในแต่ละปี ( ตามเงื่อนไขของรัฐบาลไทย และรัฐบาลของประเทศซะอุดิอาระเบีย)
เนื่องจากรัฐบาลไทย และประเทศซะอุดิอาระเบียต้องการให้ระบบการบริการและการเดินทางไปประกอบของฮุจญาจไทย มีระบบ มีมาตรฐาน มีความเรียบร้อย ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ จึงได้กำหนดให้ผู้ที่มีความประสงค์จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ในแต่ละปีต้องแจ้งความประสงค์และลงทะเบียน เพื่อที่หน่วยงานที่รับผิดชอบจะได้ทราบยอดจำนวน และแจ้งจำนวนไปยังประเทศซะอุดิอาระเบีย (แต่ละปีสภาอำนวยการฮัจย์แห่งประเทศซะอุดิอาระเบียจะมีการประชุมตังแทนกิจการฮัจย์ของประเทศมุสลิมทั่วโลก เพื่อตกลงจำนวนโควต้ายอดฮุจญาจแต่ละประเทศ เพื่อควบคุมปริมาณไม่ให้มีฮุจญาจหนาแน่นจนเกินไป และสามารถจัดจำนวนเต็นท์ที่ทุ่งมีนา และอารอฟะฮฺ ได้อย่างพอเพียง และปลอดภัย เป็นต้น
คณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยจะเป็นผู้พิจารณากำหนด และประกาศให้ทราบเป็นปีๆ ผู้ที่มีความประสงค์สามารถสอบถามผ่านแซะฮฺ ที่ตนต้องการใช้บริการได้ ส่วนราชการในแต่ละจังหวัดที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องด้านนี้ได้แก่ ฝ่ายปกครองอำเภอและจังหวัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ฝ่ายกิจการฮัจย์ของสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เป็นต้น
การประกอบพิธีฮัจย์จะสมบูรณ์พร้อม นอกจากความตั้งใจที่บริสุทธิ์ ที่จะเดินทางไปทำฮัจย์เพื่ออัลลอฮฺ ศึกษาทำความเข้าใจถึงรูกน และแนวปฏิบัติอื่นๆ ตลอดการประกอบพิธีฮัจย์แล้ว ส่วนหนึ่งที่ละเลยไม่ได้คือองค์ปรกอบที่จะช่วยเสริมให้การเดินทาง การอยู่พักแรมที่มักกะฮฺ การประกอบกิจกรรมต่างๆให้ได้ครบสมบูรณ์ได้ ฮุจญาจทุกคนควรให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามดังต่อไปนี้
• รักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง ด้วยการซ้อมเดินวันละ 2-3 กิโลทุกวันก่อนเดินทาง (เพราะหลายกิจกรรมต้องกระทำด้วยการเดินเท่านั้น)
• เตรียมสัมภาระที่จำเป็นที่จะต้องใช้ระหว่างไปทำฮัจย์ เช่น เสื้อผ้า ยารักษาโรคสำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้เฉพาะตัวบางชนิด รายละเอียดรับฟังคำชี้แจงจากทางราชการที่รับผิดชอบจะชี้แจงให้เข้าใจก่อนถึงวันเดินทาง บรรจุใส่กระเป๋าให้เหมาะสม เช่น ของใช้ระหว่างเดินทางใส่กระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่องบิน ของใช้อื่นๆ ควรบรรจุกระเป๋าใหญ่ แต่ต้องระวังน้ำหนักต้องไม่เกินที่สายการบินกำหนด (มิฉะนั้นจะต้องเสียค่าสัมภาระซึ่งแพงมาก) ปัจจุบันที่ซะอุดิอาระเบียมีสินค้าทุกอย่างที่คนเอเชียใช้ ถ้าจะไม่ลำบากฮุจญาจสามารถเดินทางไปโดยไม่ต้องนำสัมภาระมากมาย นำไปเท่าที่จำเป็น สามารถหาซื้อใช้ได้ที่ประเทศซะอุดิอาระเบีย และต้องไม่นำสินค้าหรือสิ่งต้องห้ามของประเทศซะอุดิอาระเบีย เช่น หนังสือโป๊ หนังสือการเมือง หนังสือแฟชั่น อาวุธ สิ่งเสพติด ฯลฯ ตามที่ประเทศซะอุดิอาระเบียแจ้งให้รัฐบาลไทยทราบเป็นปีๆ
• ตรวจเอกสารการเดินทาง พาสปอร์ต บัตรประชาชน ตั่วเครื่องบิน เงินสำหรับใช้จ่าย บัตรรับรองการฉีดวัคซีน ฯลฯ จัดเก็บในประเป๋าติดตัว รักษาได้ง่าย และนำออกมาใช้เมื่อถูกเรียกตรวจ (นิยมใส่ประเป๋าสะพายใบเล็ก ส่วนใหญ่รัฐบาลไทยทำแจกให้ทุกปีเป็นของกำนัลฮุจญาจไทยก่อนเดินทาง)
ตัวอย่างรูปภาพ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)